วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

และแล้วก็ถึงเวลาที่รอคอย

สำหรับท่านที่ได้รับรางวัลคอมเม้นมากที่สุด
อันดับ 1 ได้แก่ คุณ CARcar
อันดับ 2 ได้แก่ คุณ ไว้ใจได้ก๋า
อันดับ 3 ได้แก่ คุณ numfa
ขอขอบคุณทุกท่านที่ได้มาร่วมสนุกกับข้าน้อย
ขอให้ท่านมายืนยันตัวตนที่หน้านี้
และส่งชื่อที่อยู่มาที่ deemakmay@gmail.com
ก่อนวันที่ 5 สิงหาคม  2554
ขอบคุณค่ะ

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มาดูว่าวันนี้มีคนมาเล่นเกมกับเรากี่คนแล้ว 22/7/11




ขอบคุณทุกท่านเลยที่มาร่วมสนุกกับข้าน้อย

แล้วใครที่ยังไม่มา

ก็ขอเชิญเลยน่ะค่ะ

มาเล่นด้วยกัน

สนุกดี มีแจกจริงๆๆๆๆๆ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประวัติภาพยนตร์โลก3

1.1 การทดลองของเอดิสันและคณะ
หลังความสำเร็จของไมบริดจ์ คณะนักทดลองของ

Thomas Alva Edison นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้มีชื่อเสียง
 ก็ได้นำความคิดนั้นมาพัฒนา และผู้ที่เข้ามารับผิดชอบในโครงการทดลองเรื่องนี้เป็น

William Kennedy Laurie Dickson ผู้ช่วยคนหนึ่งของเอดิสัน
แต่เอดิสันได้มาทำงานทดลองเกี่ยวกับภาพยนตร์ในราวปี ค.ศ. 1888
ซึ่งในระยะเวลาใกล้เคียงกันนั้น 

George Eastman   

       ก็ได้พัฒนาฟิล์มเซลลูลอยด์ขึ้น

และผลิตออกจำหน่ายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ดิคสันจึงนำเอาฟิล์มของอีสต์แมนมาใช้ในการทดลอง
จนสามารถประดิษฐ์กล้อง ถ่ายภาพยนตร์ เครื่องแรกของโลกได้สำเร็จ ในปี ค.ศ.1889


เรียกชื่อว่า Kinetograph
และภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาถ่ายทำ ขึ้น ในปีเดียวกัน



คือเรื่อง Fred Ott’s Sneeze
นอกจากนี้ ดิคสันยังได้ประดิษฐ์เครื่องฉายภาพยนตร์

ที่เรียกว่า Kinetoscope ขึ้นด้วย

 แต่เป็นเครื่องฉายในลักษณะ ถ้ำมอง” (Peep-Show)
 ที่ดูได้คราวละหนึ่งคน
และเอดิสันได้นำประดิษฐกรรมทั้งสองไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์ไว้ในปี ค.ศ.1891

1.2 สิ่งประดิษฐ์ของพี่น้องลูมิแอร์


เนื่องจากว่าเอดิสันได้จดทะเบียนลิขสิทธิ์
เครื่องฉายและกล้องถ่ายภาพยนตร์ของเขาแต่เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา
บรรดานักประดิษฐ์ชาวยุโรปชาติต่างๆ
ที่สนใจและค้นคว้าในเรื่องนี้อยู่แล้ว

เมื่อได้มาชม นิทรรศการประดิษฐกรรมของเอดิสัน
จึงสามารถลอกแบบและนำไปปรับปรุงให้ดีกว่าได้
นักประดิษฐ์คู่หนึ่งที่นับว่ามีบทบาทสำคัญมากก็คือ

พี่น้องลูมิแอร์ อันได้แก่ Auguste และ Louise Lumiere
ซึ่งได้ทดลองออกแบบกล้องถ่ายภาพยนตร์ขึ้น
โดยให้ชื่อประดิษฐกรรมนี้ว่า Cinematography




ซึ่งมีข้อดีกว่ากล้องของเอดิสันคือ
 เป็นทั้งเครื่องถ่ายและเครื่องฉายได้ในตัวเดียว
 และมีน้ำหนักเบากว่า
จึงสามารถนำออกไปถ่ายทำหนังนอกสถานที่ได้
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่พี่น้องลูมิแอร์ถ่ายทำขึ้นก็คือ


La Sortie de l'Usine Lumière à Lyon


มาดูว่าวันนี้มีคนมาเล่นเกมกับเรากี่คนแล้ว



ขอบคุณทุกท่านเลยที่มาร่วมสนุกกับข้าน้อย

แล้วใครที่ยังไม่มา

ก็ขอเชิญเลยน่ะค่ะ

มาเล่นด้วยกัน

สนุกดี มีแจกจริงๆๆๆๆๆ

ประวัติภาพยนตร์โลก2

             บุคคลแรกที่ได้ประยุกต์การถ่ายภาพนิ่งให้เป็นภาพยนตร์ก็คือ Eadweard Muybridge นักแสวงโชค ชาวอังกฤษที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากในรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปี ค.ศ.1849 โดยมีอาชีพ เป็นช่างถ่ายรูป อยู่ที่ ซานฟรานซิสโก 

และในปี ค.ศ.1872 ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย คือ Leland Standford ซึ่งเป็นเจ้าของคอกม้า และนักแข่งม้าได้ท้าพนันกับคู่แข่งของเขาเป็นเงิน 25,000 ดอลลาร์ว่า ในการควบ วิ่ง ของม้านั้น จะมีเวลาหนึ่ง ที่ขาทั้งสี่ของม้าจะลอยขึ้นเหนือพื้นโดยเขาได้ว่าจ้าง ให้ไมบริดจ์หาทาง พิสูจน์ ข้อเท็จจริงดังกล่าว
        หลังจากได้รับการว่าจ้าง ไมบริดจ์ก็หาทางอยู่นาน จนกระทั่งปี ค.ศ.1877 (บางตำราว่า 1878) จึง สามารถพิสูจน์ได้ โดยความช่วยเหลือของเพื่อนที่เป็นวิศวกรชื่อ John D. Isaacs โดยเขาตั้งกล้อง ถ่ายภาพนิ่ง 12 ตัว เรียงรายไว้ข้างทางวิ่ง แล้วขึงเชือกเส้นเล็กๆ ขวางทางวิ่งไว้ โดยที่ปลายด้านหนึ่งจะผูกติดกับไกชัตเตอร์ ของกล้องโดยมีแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นตัวควบคุม เมื่อม้าวิ่งสะดุดเชือกเส้นหนึ่ง ไกชัตเตอร์ของกล้องแรกก็จะทำงาน และเรียงลำดับไปจนครบ12ตัว

 หลังจากถ่ายภาพได้แล้ว ไมบริดจ์ ก็นำภาพที่ได้มาติดบนวงล้อหมุน แล้วฉายด้วยแมจิก แลนเทิร์น ทำให้เห็นภาพการเคลื่อนไหวของม้า ต่อเนื่องเหมือนของจริง 



และหลังจากได้ทดสอบซ้ำอีกโดยใช้กล้อง 24 ตัว 


ไมบริดจ์ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า ในเวลาที่ม้าควบไปเร็วๆ นั้น ขาทั้งสี่ของมันจะลอยขึ้นเหนือพื้นดินในเวลาหนึ่งจริงๆ 

แต่ประดิษฐกรรม ของไมบริดจ์ก็ยังไม่ถือว่าเป็นภาพยนตร์ เนื่องจากว่ามันถ่ายทำด้วยกล้องถ่ายภาพนิ่ง และต้องใช้กล้อง เป็นจำนวนมากตั้งแต่ 12 หรือ 20 หรือบางทีถึง 40ตัวทีเดียว


วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เชิญร่วมสนุก เพื่อเป็นการขอบคุณ





ขอขอบสมาชิิกทุกท่านที่เข้ามาคอมเม้น

เพื่อเป็นการตอบแทนเราจะมาเล่นเกมเพื่อชิงของรางวัลกันดีกว่า

กติกามีอยู่ว่า

สมาชิกที่เข้ามาคอมเม้นให้ข้าน้อย"หนังขายยา"

มากที่สุดรับไปเลย

ของรางวัลดังต่อไปนี้

รางวัลที่1สมาชิกที่คอมเม้นมากที่สุดรับ"ชุดของขวัญวันแม่"ชุดใหญ่

ประกอบด้วย

1.ลูกประคบสมุนไพร+งา บำรุงกระดูก ลูกละ 200 กรัม 2 ลูก

2. ชุบอบ+อาบสมุนไพร ที่มีสมุนไพรกว่า 10 ชนิด 180 กรัม 1 ชุด

3.ชาชงเห็ดหลินจือ บำรุงร่างกาย 10.5 กรัม 1 ชุด

4.ยาสีฟันข่อย ไม่ใช้สารที่ทำให้เกิดฟอง 50 กรัม 1 หลอด

5.สบู่สมุนไพรสปาใยบวบ ขมิ้นชัน+น้ำผึ่ง 75 กรัม 1 ก้อน


รางวัลที่ 2 สมาชิกที่คอมเม้นมากเป็นอันดับ 2 รับ"ชุดของขวัญวันแม่"ชุดเล็ก

ประกอบด้วย

1.ชาชงเห็ดหลินจือ บำรุงร่างกาย 10.5 กรัม 1 ชุด

2.ยาสีฟันข่อย ไม่ใช้สารที่ทำให้เกิดฟอง 50 กรัม 1 หลอด

3.สบู่สมุนไพรสปาใยบวบ ขมิ้นชัน+น้ำผึ่ง 75 กรัม 1 ก้อน

รางวัลที่ 3 สมาชิกที่คอมเม้นมากเป็นอันดับ 3 รับ"ของขวัญวันแม่"

ประกอบด้วย

1.ชาชงเห็ดหลินจือ บำรุงร่างกาย 10.5 กรัม 1 ชุด




ข้าน้อยขอรับรองว่า

รางวัลที่กล่าวมาข้างต้นล้วนแล้วแต่...

"เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ"

"เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยม"

"เป็นสินค้าที่ข้าน้อยจะมอบให้กับท่านที่มาร่วมสนุกกับหนังขายยาจริง"


ขอย้ำอีกครั้งว่าข้าน้อยจะมอบให้จริงๆ

ระยะเวลาที่กำหนด

ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปก็เริ่มคอมเม้นกันไดเลย

จนถึงเวลา 24:00 ของวันที่ 31 กรกฎาคม 2554

(ดูเวลาตามแต่ละคอมเม้น)

ประกาศรายชื่อผู้โชคดีผ่านบล็อก "หนังขายยา"

หรือทาง Facebook ของข้าน้อย Movie Teeruk (หนังขายยา)

ในวันที่ 2 สิงหาคม 2554

และท่านผู้โชคดีทุกท่านต้องติดต่อกลับมาทางข้าน้อย

ผ่านทางคอมเม้นเพื่อเป็นการยืนยัน

และส่งที่อยู่มาทาง E-mail ของข้าน้อย

ก่อนวันที่ 5 สิงหาคม 2554

ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจในกิจกรรมนี้

ขอบคุณค่ะ


วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ข้าน้อยรายงานตัว

เมื่อวานนี้ได้เปิดบล็อกและใส่ข้อความไปแล้ว

มีผู้ที่มีน้ำใจแวะมา 50 คน และยังมีคอมเม้นอีกตั้ง 2 คน(อีกหนึ่งของข้าน้อยเอง) 



ไม่ว่าทุกท่านที่เข้าอาจจะบังเอิญเข้ามา

 หรือคลิกตามลิ้ง หนังขายยา

 หรือจาก Facebook 

ข้าน้อยก็ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูง

เหตุุผลที่ข้าน้อยเปิดบล็อกเขียนบล็อกเกี่ยวกับภาพยนตร์ 

เนื่องจากด้วยส่วนตัวแล้ว

ข้าน้อยเป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบ การดูภาพยนตร์ 

หรือที่เราเรียกว่าชอบดูหนัง 

แต่ถ้าถามว่าชอบดูหนังประเภทไหน 

มันตอบยากมากเพราะ 

ดูได้ทุกเรื่องทุกแนว ทุกประเภท 

บางคนถามว่ามีประเภทหนังที่ไม่ชอบไหม

 ก็ตอบไม่ได้จริง 

เพราะเรื่องไหนที่คนว่าไม่ชอบ 

พอข้าน้อยดูแล้วก็รู้สึกดีถึงแม้ว่าจะมีที่ติเยอะข้าน้อยก็ชอบ

ส่วนบางคนบอกว่าไม่ชอบดูหนังไทย



ข้าน้อยกลับคิดว่า ข้าน้อยชอบดูหนังไทย

เพราะ

ดูรู้เรื่องที่สุด การที่เราดูแล้วรู้เรื่องโดยไม่ต้องแปลอีกทำให้

ได้อารมณ์ตรงๆไม่ต้องผ่านคนแปล

(สำหรับเรื่องที่สื่ออารมณ์ได้ดีถ้าผ่านการแปลอารมณ์หายไปอย่างน้อย 10%)

อีกเหตุผลหนึ่ง คือ ถ้าเรามีโอกาสได้ผลิตภาพยนตร์สักเรื่อง

แน่นอนว่า

เราต้องเรียกมันว่าหนังไทย

ถ้าวันนี้เราไม่ชอบหนังไทย แล้ววันนั้นเราจะวันที่เราต้องการ

โปรโมทหนังเรา

เราจะบอกให้คนมาดูหนังเราอย่างไร 

ว่าให้มาดูหนังไทย เป็นหนังที่คนไม่ชอบหนังไทยทำ

อย่างไรก็ไม่เต็มปาก!!!

ดังนั้นเรามาช่วยกันดูหนังไทย ที่คนไทย(ตั้งใจ มุ่งมั่น)ทำดีกว่า

แต่ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามดูหน้งเทศ

เพียงแต่ช่วยกันมองหนังไทยในแง่ดีดี

แค่นี้ผู้ผลิตหนังไทยก็ภูมิใจแล้ว(พูดอย่างกะเป็นผู้ผลิตหนังเองเลยน่ะ)

และเพราะเหตุนี้เองทำให้ข้าน้อยคิดถึงหนังไทยสมัยแรกๆ

ที่ข้าน้อยประสบเอง(หนังกลางแปลง)



และสมัยที่ข้าน้อยเกิดไม่ทัน(หนังขายยาที่เป็นแบบฉายหนังแล้วหยุดขายยา)

ผู้เฒ่าเล่าว่ามันเสียอารมณ์ที่สุดเลยกำลังมันๆก็ต้องหยุดขายยา

แต่พอมาสมัยนี้ข้าน้อยคิดว่ามันดู classic ดีออก

มันมีกลิ่นอายของความคลัง จึงนำมาตั้งเป็นบล็อก "หนังขายยา"

แต่ถ้าถามว่าแล้วมันเป็น"หนังขายยา"ยังไงในบล็อกข้าน้อย

ก็คงต้องติดตามต่อไป

เพราะข้าน้อยคิดว่าจะนำยาสมุนไพรดีดี(ให้มันเข้ากับบรรยากาศ)มาวางขาย

และหวังว่าทุกท่านคงให้ความสนใจไม่มากก็น้อย

ยินดีที่ติดตาม

ขอบคุณงามๆที่คอมเม้น